รีวิวนี้จะพาไปเที่ยวกันแบบสบายๆบ้างนะครับ ไม่เหนื่อยมากใกล้ๆกรุงเทพ อย่างจังหวัด “กาญจนบุรี” เป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่มีสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ๆ เพิ่มขึ้นมาตลอด และหนึ่งในนั้นที่น่าสนใจก็คือ “อุทยานพระพุทธเมตตาประชาไทยไตรโลกนาถคันธารราฐอนุสรณ์” ภายในมีสิ่งที่น่าสนใจหลายอย่าง ทั้งองค์พระใหญ่ให้เราได้กราบไหว้สักการะ, นิทรรศการ, วัดทิพย์สุคนธาราม, ส่วนป่าพุทธอุทยาน, และมีอ่างเก็บน้ำให้ได้ชมอีก สำหรับใครที่มีเวลาไม่มาก ที่นี่น่าจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวใกล้ๆกรุงเทพที่ไม่ควรพลาดเลย
“โครงการนี้เกิดจากความริเริ่มของเจ้าพระคุณสมเด็จพระมหาธีราจารย์ ท่านได้ปรารภกับข้าพเจ้าเรื่องความตั้งใจที่จะสร้างพระพุทธรูปองค์สำคัญขึ้น… วัตถุประสงค์คือ เพื่อเป็นศูนย์รวมความเคารพของพุทธศาสนิกชนอีกแห่งหนึ่ง และเพื่อเป็นอนุสรณ์ถึงพระพุทธรูปแห่งบามิยัน…”
พระราชดำรัสของสมเด็จพระนางเจ้าๆ พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 พระราชทานแก่คณะบุคคลที่มาเข้าเฝ้าๆ ถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดิสิดาลัย สวนจิตรลดา เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2554
สำหรับการเดินทางมายัง “อุทยานพระพุทธเมตตาประชาไทยไตรโลกนาถคันธารราฐอนุสรณ์” หรือ “วัดทิพย์สุคนธาราม” ซึ่งจริงๆแล้วจะอยู่ในส่วนเดียวกันนะครับ สามารถลองกดหาเส้นทางใน google map ได้ทั้งสองชื่อเลย และสำหรับเส้นทางการมาเที่ยวที่นี่จากกรุงเทพ ถ้าจะสะดวกที่สุด สามารถใช้เส้นทาง บางบัวทอง-สุพรรณบุรี (340) ได้ เพราะตัววัดจะอยู่ค่อนไปทางจังหวัดสุพรรณบุรีมากกว่า
บริเวณทางเข้าด้านหน้าครับ มาตามแผนที่ไม่หลงแน่นอน จากถนนทางเข้าตรงนี้ สามารถมองเห็นองค์พระได้เลย โดดเด่นมากๆ
ภายในจะแบ่งออกเป็น 5 จุดสำคัญที่ไม่ควรพลาด
- องค์พระพุทธเมตตา
- นิทรรศการอนุสรณ์แห่งการตื่นรู้
- วัดทิพย์สุคนธาราม
- สวนป่าพุทธอุทยาน
- อ่างเก็บน้ำในพระบรมราชินูปถัมภ์
หลังจากจอดรถเสร็จ ก็ไปชมในส่วนแรกกันครับ “องค์พระพุทธเมตตา” หรือชื่อเต็มๆว่า “องค์พระพุทธเมตตาประชาไทยไตรโลกนาถคันธารราฐอนุสรณ์” ซึ่งเป็นพระพุทธรูปคันธารราฐหรือปางขอฝน ที่หล่อด้วยโลหะสำริด สูงถึง 32 เมตร (เกือบๆจะเท่า เทพีเสรีภาพเลยนะ) ประดิษฐาน ณ ลานประทักษิณ ภายในพุทธอุทยานพื้นที่ 320 ไร่
“พระปางขอฝน” ตามตำนานครั้งหนึ่งในสมัยพุทธกาลนั้นฝนแล้งมาก แต่ด้วยพระบารมีของพระพุทธเจ้า ได้ทรงพลิกพื้นที่แห้งแล้งให้มีน้ำฝนหลั่งไปทั่วทุกสารทิศ เปรียบดังที่อำเภอห้วยกระเจานี้มีภูมิประเทศที่แห้งแล้งจนเรียกได้ว่า อีสานจังหวัดกาญจนบุรี จึงเป็นที่มาของการสร้าง “พระปางขอฝน” ที่สุดแห่งความศรัทธากับประติมากรรมทางพุทธศิลป์ พระพุทธรูปสำริดปางขอฝน ที่สูงที่สุดในประเทศไทยและงดงาม ว่ากันว่า หากได้มากราบไหว้ ชีวิตจะพบแต่ความร่มเย็นเป็นสุขดั่งแผ่นดินที่ได้รับสายฝน
สำหรับการดำเนินงานก่อสร้างก่อสร้างที่นี่ ต้องอาศัยทั้งผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมสาขาต่างๆ และเทคโนโลยีที่ทันสมัย ตั้งแต่ขั้นตอนของการออกแบบโครงสร้างเหล็กภายในองค์พระ ซึ่งต้องมีการทดสอบความมั่นคงแข็งแรงโดยได้รับความร่วมมือจากสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) ในการทดสอบการรับแรงลมพายุและแรงแผ่นดินไหว รวมทั้งมีการหล่อผิวด้วยโลหะสำริดที่คุณภาพดีที่สุดจากต่างประเทศ และใช้เทคโนโลยีในการหล่อที่ทันสมัยเพื่อให้สามารถควบคุมความหนาของผิวองค์พระให้มีความบางที่สุดเพียง ๕ มิลลิเมตรเท่านั้น
นอกจากนี้คณะกรรมการฝ่ายก่อสร้างยังได้มีการนำระบบการทำงานตามมาตรฐานอุตสาหกรรมมาใช้ในการตรวจสอบร่วมกับผู้เชี่ยวชาญและประติมากรอย่างใกล้ชิดทุกขั้นตอน ทั้งนี้เพื่อให้องค์พระสามารถยืนหยัดอยู่ได้นานนับพันปี ซึ่งนับได้ว่าเป็นการสร้างพระพุทธรูปที่สะท้อนความเจริญของนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่มีความทันสมัยมากที่สุดในยุคปัจจุบัน
ไปชมในส่วนอื่นๆกันต่อครับ ที่อยู่ใกล้ๆกันก็คือ อาคารนิทรรศการ ตามไปชมกันครับว่าภายในจะอะไรที่น่าสนใจบ้าง
“อนุสรณ์แห่งการตื่นรู้” นิทรรศการแห่งนี้ เป็นสถานที่สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนได้ศึกษาเรื่องราวของพระพุทธศาสนาทั้งแก่นและเปลือก เพราะหากผู้คนได้เข้าถึง “หัวใจของพุทธะ” มากขึ้นเท่าใด การสืบทอดอายุของพระพุทธศาสนาจะก้าวหน้าขึ้นยืนยาวและหยั่งรากลึกลงถึงในแก่นได้มากขึ้นเท่านั้น
สำหรับรูปแบบการให้บริการ
– บริการนำชมโดยวิทยากร วันละ 7 รอบ รอบละ 50 ท่าน
– ใช้เวลาในการชมนิทรรศการ 45 นาที
– วันจันทร์ ปิดให้บริการ
ภายในนิทรรศการจะแบ่งออกเป็น 4 โซน
โซน 1: พระพุทธเมตตาประชาไทยไตรโลกนาถคันธารราฐอนุสรณ์
โซน 2: การเดินทางของพระพุทธศาสนา
โซน 3: “เจติยะ” สิ่งที่ควรบูชา
โซน 4: คบเพลิงแห่งธรรม
ในโซนแรกนี้ จะพูดถึงองค์พระต้นแบบและการออกแบบก่อสร้างที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เพื่อให้องค์พระพุทธรูปมีความคงทนถาวรนับพันปี
“พระพุทธรูปพันปี ความท้าทายทางวิศวกรรม” เริ่มต้นจากประติมากรนำองค์พระต้นแบบ ความสูง 96 ซม. ไปปั้นขยายเป็น 192 ซม. และส่งสแกน 3 มิติ ณ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC) เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับการคำนวณออกแบบโครงสร้างที่เปรียบเสมือนโครงกระดูกขององค์พระ นำข้อมูลจากการออกแบบโครงสร้างส่งให้สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) เพื่อทดสอบการรับแรงลมพายุและแรงแผ่นดินไหวที่รุนแรงที่สุดในรอบพันปี
ในโซนที่สอง จะเกี่ยวกับต้นกำเนิดของพระพุทธศาสนารวมไปถึงการออกเผยแผ่พระธรรมนอกอาณาเขตชมพูทวีปเพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนา เช่น ดินแดนสุวรรณภูมิ, ทวารวดี, กรุงสุโขทัย, กรุงศรีอยุธยา, กรุงรัตนโกสินทร์ เป็นต้น
มาถึงในโซนที่สาม “เจติยะ” แปลว่า สิ่งที่ควรบูชา หรือสัญลักษณ์ที่ใช้ในการสื่อสารทางพระพุทธศาสนาเพื่อเผยแผ่พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ได้แก่ ธรรมเจดีย์, ธาตุเจดีย์, บริโภคเจดีย์, และ อุเทสิกะเจดีย์
โซนสุดท้าย… พื้นที่เพื่อการย้อนทวนตกผลึกทางความคิดเรื่องราวการตื่นรู้ อันเป็นหัวใจสำคัญของพระพุทธศาสนา ประดุจดั่ง “เปลือกที่ห่อหุ้มแก่น” ดำรงอยู่คู่กัน ไม่อาจขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้และทำหน้าที่เป็น “คบเพลิงแห่งธรรม”
จากในส่วนของนิทรรศการ สามารถเดินต่อไปยัง “สวนป่าพุทธอุทยานและนิทรรศการกลางแจ้ง” ภายในสวนจะมีการจัดทำเรื่องราวเกี่ยวกับ “กำเนิดมหาโพธิ” แสดงเรื่องราวเหตุการณ์ประสูติ ตรัสรู้ ปฐมเทศนาและปรินิพพานผ่านงานประติมากรรมหลากหลายรูปแบบ รวมไปถึงมีพรรณไม้ในพุทธประวัติให้ชม โดยมีต้นพระศรีมหาโพธิเป็นจุดศูนย์กลางสำคัญ
บริเวณสะพานก็ถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ของสวนป่าแห่งนี้ ซึ่งมองเห็นวิวสวนนี้ได้ทั้งหมดเลย สามารถมาแวะเก็บภาพงามๆกันได้นะครับจุดนี้
สำหรับใครที่เดินเที่ยวจนเหนื่อยและหิวข้าว ภายในอุทยานก็มีศูนย์อาหารให้บริการอยู่ ราคาเป็นมิตรและอร่อยด้วย อย่างข้าวมันไก่ ข้าวหมูแดง ก๋วยเตี๋ยวต้มยำ ราคาจานละ 30 บาทเท่านั้น
หลังจากอิ่มท้องกันแล้ว ก็ไปชมกันต่อที่ “วัดทิพย์สุคนธาราม” ครับ ถ้าดูจากแผนที่แล้วจะอยู่ห่างออกไปทางด้านหลังองค์พระ สามารถใช้บริการรถรับ-ส่งของทางอุทยานได้ (จุดรับส่งจะอยู่ที่ศาลาบริเวณอาคารสำนักงาน) หรือจะขับรถไปเองก็ได้แล้วแต่สะดวกเลย
“วัดทิพย์สุคนธาราม” จัดสร้างขึ้นเมื่อวันที่ 23 กรกฏาคม พ.ศ. 2547 และพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอุดลยเดช รัชกาลที่ 9 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าๆ พระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2556. เริ่มแรกวัดทิพย์สุคนธารามมีเพียงศาลาการเปรียญ หอสวดมนต์ และกุฏิ 5 หลัง มีพระสงฆ์จำพรรษา 4 รูป จากนั้นจึงได้สร้างพระอุโบสถรูปแบบสถาปัตยกรรมล้านนางดงามขึ้นจนแล้วเสร็จ
จากพื้นที่แห้งแล้ง บัดนี้ภูมิทัศน์โดยรอบแปรเปลี่ยนเป็นสวนป่าแห่งพุทธธรรม ที่ให้ความร่มรื่น ชุ่มเย็น มีองค์พระพุทธเมตตาประชาไทยไตรโลกนาถคันธารราฐอนุสรณ์ ประดิษฐานงามสง่า เป็นที่ยึดมั่นศรัทธาของพุทธศาสนิกชน
สำหรับทุกวันเสาร์-อาทิตย์ รถรับ-ส่งของทางอุทยาน จะมีพาไปช็อปต่อที่ตลาดเล็กๆของโรงเรียนชาวนา สินค้าส่วนใหญ่จะเป็นสินค้า otop ที่ชาวบ้านนำมาขายกันเอง ทั้งผัก ผลไม้ ปลอดสาร ข้าวหอมกระเจา ผลิตผลทางการเกษตร และที่สำคัญราคาเป็นก็มิตรมากๆ ด้วย แนะนำเลยครับ ห้ามพลาดๆ
มะละกอ ลูกละ 20 บาท
น้ำสมุนไพร ทำสดๆ ขวดละ 10 บาท กินกับขนมกล้วยร้อนๆ อร่อยมากๆ
ผักปลอดสาร
ข้าวชาวนา ปลอดสารเคมี
ซื้อของกันเสร็จแล้ว ก็ขอพาไปชมกับในส่วนสุดท้ายกันครับ “อ่างเก็บน้ำในพระบรมราชินูปถัมภ์” เป็นสถานที่เก็บกักน้ำเพื่อเอาไปใช้สอยต่างๆ ภายในอุทยาน อีกทั้งยังเป็นจุดชมวิว พักผ่อนหย่อนใจสำหรับนักท่องเที่ยวด้วย สามารถขับรถตามป้ายเข้ามาได้เลย ไม่ไกลมากครับ
สุดท้ายนี้ ขอพามาปิดท้ายและแนะนำที่พักใกล้ๆกับอุทยาน “แอท เมืองพลอย รีสอร์ท” เผื่อไว้สำหรับใครที่ไม่ได้รีบร้อน จะได้ไม่เหนื่อยเกิน ก็สามารถมาค้างที่นี่ซักคืนได้ ตัวที่พักนั้นอยู่ห่างจากอุทยานเพียงแค่ 23 กม. ขับรถไปสบายๆ 20 นาทีก็ถึง
“แอท เมืองพลอย รีสอร์ท” เป็นที่พักสไตล์มินิมอล ตั้งอยู่ในอำเภอ บ่อพลอย จังหวัดกาญจนบุรี รายล้อมด้วยร้านอาหาร, ซุปเปอร์มาร์เก็ต และห่างจากสนามกอล์ฟชื่อดัง 4 กม.
จุดเด่นอีกอย่างของที่นี่ ก็คือเรื่องราคาครับ แค่หลักร้อยเท่านั้น ถือว่าคุ้มค่ามากๆ ใครเที่ยวที่อุทยานเสร็จแล้ว ไม่อยากขับรถกลับเลย ก็แวะมาพักที่นี่ก่อนได้ แนะนำๆเลย
ขอขอบคุณทุกท่านที่มาติดตามรีวิวนี้กันนะครับ ก็ขอฝากที่เที่ยวเปิดใหม่นี้อีกครั้ง “อุทยานพระพุทธเมตตาประชาไทยไตรโลกนาถคันธารราฐอนุสรณ์” ใครที่ผ่านมาเที่ยวที่จังหวัดกาญจนบุรีหรือใกล้เคียง ก็ลองแวะมาเที่ยวที่นี่กันดูนะครับ ได้ทั้งความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา เป็นอีกหนึ่งการท่องเที่ยวที่สนุกไปอีกแบบจริงๆ แนะนำเลยนะครับ
“เมื่อใดคำสอนของพระพุทธองค์เข้าถึงกลางใจ… เมื่อนั้นพระพุทธศาสนาจะคงอยู่สืบไป”
Written by 9journeythailand