หลังจากที่โรงแรมดุสิตธานีได้ปิดตัวไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมา เพื่อปรับปรุงและเตรียมพื้นที่สร้างโรงแรมแห่งใหม่ ซึ่งจะกลับมาเปิดอีกครั้งในอีก 4 ปีข้างหน้าเลย ดังนั้นทางกลุ่มโรงแรมดุสิตก็เลยได้ทำการมองหาบ้านหลังใหม่เพื่อที่จะรองรับพนักงานในระหว่างที่กำลังสร้างที่ใหม่ ก็เลยเป็นที่มาของที่นี่ “บ้านดุสิตธานี” ใครที่เคยเป็นลูกค้าประจำ จะต้องคิดถึงอย่างแน่นอน
สำหรับสถานที่ตั้งจะอยู่ในซอยศาลาแดงนะครับ มาง่ายมาก เพราะแค่ขับรถผ่านมาก็สะดุดตาแน่นอน ที่นี่ในอดีตเคยเป็นบ้านเก่าตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง เจ้าของคนแรกเป็นชาวฮ่องกง และหลังจากนั้นได้ขายต่อมาให้ทางตระกูลโอสถานุเคราะห์หรือที่รู้จักกันดีในชื่อโอสถสภา บ้านหลังนี้ใช้อยู่อาศัยกันมาซักระยะหนึ่ง และต่อมาช่วงหลังก็ได้ปล่อยร้างไว้ถึงกว่า 30 ปี
ปัจจุบันทางกลุ่มโรงแรมดุสิตได้ทำการเช่าที่นี่เป็นระยะเวลา 5 ปี และมีการปรับปรุงพื้นที่เนรมิตขึ้นมาใหม่ได้อย่างสวยงามจริงๆ ภายในพื้นที่ของบ้านหลังใหญ่จะแบ่งความเป็นส่วนตัวออกเป็นโซนต่างๆ ให้เลือกตามใจชอบ อย่างในส่วนของบ้านหลักจะเป็นร้านอาหารไทย “เบญจรงค์” ที่พวกเรารู้จักกันเป็นอย่างดี และบ้านรองด้านหน้าริมถนนก็คือ “ดุสิต กูร์เมต์ – Dusit Gourmet” และสุดท้ายโซนด้านหลังก็จะเป็น “เธียนดอง – Thien Duong” ร้านอาหารเวียดนามยอดฮิตของโรงแรมดุสิตธานีนั่นเอง
ครั้งนี้พวกเราได้มีโอกาสมาชิมที่ร้านอาหารเวียดนาม เธียนดอง – Thien Duong ที่เพิ่งจะเปิดได้เมื่อไม่นานมานี้เอง ร้านเค้าตกแต่งสวยงามอลังการมากครับ ในอดีตที่นี่เคยเป็นโกดังเก่า เป็นที่เก็บสินค้าของทางโอสถสภา จะสังเกตเห็นโครงสร้างเก่าได้อย่างชัดเจน อย่างประตูใหญ่บานน้ำเงินที่ใช้สำหรับเลื่อนปิดเปิดในอดีต คือเป็นการออกแบบผสมผสานที่สวยงามและลงตัวมากๆ ปล. ใครชอบถ่ายรูป แนะนำร้านนี้เลย มีมุมฮิปน่าถ่ายเพียบเลย
ภายในร้านอาหารก็สวยงามไม่แพ้กัน ใช้พื้นกระเบื้องได้เก๋มาก มีความผสมผสานแบบเอเชียและยุโรปอยู่ ซึ่งตามคอนเซปร้านที่ตกแต่ง อยากให้เป็นเหมือนยุคอาณานิคมของฝรั่งเศสประมาณนั้น สังเกตได้จากรูปภาพต่างๆ จะเป็นชาวเวียดนามแต่แต่งกายด้วยชุดสไตล์ยุโรป
สำหรับอาหารเวียดนามที่นี่ คงไม่ต้องอธิบายกันเยอะนะครับ เพราะเป็นร้านดังมาจากโรงแรมดุสิตธานีกันอยู่แล้ว ยกมาทั้งครัว ทั้งเชฟ และทั้งพนักงานเลยก็ว่าได้ บรรยากาศอบอุ่นเหมือนเคยๆแน่นอน สำหรับอาหารจานแรกขอมาแนะนำเมนูนี้ “ข้าวเกรียบปากหม้อญวณสอดไส้หมู และกุ้ง” – 190บ. ทีเด็ดของเมนูนี้ขอยกให้ตัวแป้งเลยครับ นุ่มมากและอร่อยจริงๆ
ถัดมา “ขนมเบื้องญวณ” – 210บ. จานนี้ตัวแป้งจะมาอย่างหนาเลย กรอบอร่อย ไม่เหมือนร้านอื่นๆที่มาแบบบางมาก ส่วนตัวไส้ผัดมาได้หอมกำลังดี แนะนำเลยๆ
“แหนมเนือง” – 340บ. เป็นจานหลักเสริฟพร้อมกับผักสด มีแป้งกับผักกาดที่จัดเตรียมไว้พร้อมทานด้วย ทีเด็ดคือเนื้อหมูของที่นี่ จะใช้หมูเต็มๆเอามาย่าง ทานพร้อมแป้ง, ผักกาด, และน้ำจิ้ม อร่อยได้เต็มๆคำเลย
“กุ้งพันอ้อย” – 290บ. อีกเมนูยอดฮิตของที่นี่เลย ทีเด็ดอยู่ที่เนื้อกุ้ง ซึ่งที่นี่จะใช้กุ้ง 100% เต็มๆ นำมาพันอ้อย อร่อยมากๆ
“ปลาทอดตะไคร้” – 390บ. ความแปลกของเมนูนี้คือตัวฐานจะเป็นปลาตาเดียว แต่เนื้อที่ทอดอยู่ด้านบนจะเป็นปลาดอลลี่ ที่นี่ทอดมาดีมากๆครับ ทานคู่กับน้ำจิ้ม อร่อยเหาะไปเลย
สำหรับเครื่องดื่มที่นี่จะมีเป็น “น้ำเก๊กฮวย” แบบรีฟิลด้วย แก้วละ 140บ.
เสร็จจากมื้อนี้พวกเราก็มาต่อกันที่ ดุสิต กูร์เมต์ – Dusit Gourmet ไปทานขนมจิบชากันต่อ ที่นี่ถือว่าเป็นคาเฟ่ยอดฮิตของโรงแรมดุสิตธานีเลยก็ว่าได้ เหมือนเป็นสถานที่พบปะ นัดคุย กันมาตั้งแต่สมัยอยู่ในโรงแรมดุสิตธานี้เลย ตัวร้านนี้จะติดกับถนนใหญ่ด้านหน้าเลย ใครที่เดินผ่านไปมาแถวศาลาแดง ต้องสะดุดตากับที่นี่แน่นอน มีการตกแต่งในสไตล์ Cozy Rustic คือจะมีความดิบของโครงสร้างเก่าผสมกับบรรยากาศสบายๆในแบบดุสิต เข้ามานั่งแล้วรู้สึกอบอุ่นสบายๆเหมือนอยู่บ้านเลยครับ
รอบนี้พวกเรามาทานชุด Gourmet High Tea สำหรับ 2 ท่าน ราคา 780 บาท จะมีเสริฟตั้งแต่ช่วงบ่าย 2 จนถึง 5 โมงเย็นนะครับ ในเซ็ทจะมีมูสที่ผสมพิสตาชิโอเป็นชั้นๆ แล้วท็อปด้วยมาการอง อร่อยมากๆ ชั้นกลางจะมีฟรุ๊ตเค้กแบบดั้งเดิม มูสชีส และเค้กใบเตยที่โปะด้วยครีมมิ้นต์ เยี่ยมเลย ส่วนชั้นล่างสุดจะเป็นแนวคานาเป้ต่างๆ มีสโคนมาให้ด้วย ทานคู่กับเนยที่ให้มา อร่อยเลยครับๆ
ความดีงามของขนมเซ็ทนี้ นอกจากในเรื่องของรสชาติในแบบดั้งเดิมที่ทางดุสิตยกทั้งครัวและเชฟหลักคนเดิมมาแล้ว ก็คือเรื่องการบริการ เพราะแม้แต่พนักงานต่างๆ ก็ยังเป็นชุดเดิมทั้งหมด ซึ่งสำหรับใครที่เป็นลูกค้าประจำ ก็เหมือนได้กลับมาบ้านจริงๆนะ บรรยากาศที่เห็นคือลูกค้าจะทักทายกับพนักงานในร้านกับแบบสบายๆ ดูแล้วบรรยากาศเป็นกันเองมากๆ
สุดท้ายนี้ก็ขอฝากที่นี่ไว้อีกครั้งนะครับ ใครที่เคยเป็นลูกค้าประจำอยู่หรือใครที่อยากไปลองชิม ไปถ่ายรูปนะ บอกได้เลยว่าสถานที่เค้าสวยงามจริงๆ อาหารก็อร่อยโดยเชฟคนเดิม เดี๋ยวรอบหน้าพวกเราจะหาโอกาสไปชิมที่ร้านอาหาร “เบญจรงค์” กันบ้าง รอบนี้ทานไม่ไหวแล้ว ร้านเค้าสวยงามได้บรรยากาศย้อนยุคมากๆ ไว้จะมารีวิวให้เพิ่มเติมนะครับ
Written by 9journeythailand